Work from Home ทำงานหลายที่...ผิดมั้ย?
ในฐานะ Recruiter คนหนึ่ง ที่ทำงานในวงการ Recruitment ทั้ง Corporate และ Agency มามากว่า 17 ปี สังเกตุได้ว่าตั้งแต่เริ่มมี Covid – 19 หลายๆ บริษัทมีการออกนโยบายการทำงานในรูปแบบของการ work from Home บางที่เป็นการบริหารแบบ Work from Home 100% หรือบางที่เป็นแบบ Hybrid โดยให้แบ่งทำงานที่บ้าน และ ที่บริษัท สลับกัน เพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยและลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส
เราเองในมุมของ Recruiter ก็จะดำเนินการสรรหาพนักงานให้ตามความต้องการของลูกค้า พร้อมแจ้งนโยบายการทำงานให้กับผู้สมัครทราบ เพราะหลายๆครั้งที่ได้พูดคุยกับผู้สมัครพบว่านโยบายเหล่านี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยมีผลกับการกับตัดสินใจพิจารณาเปลี่ยนงานของผู้สมัคร ผู้สมัครบางคนรู้สึกมีความกังวลใจหากงานเปลี่ยนงานใหม่แล้ว บริษัทใหม่มีนโยบายที่ต้องไปทำงานที่ออฟฟิศ 100% เพราะยังห่วงเรื่องความปลอดภัย หรือ ผู้สมัครบางคนต้องการเปลี่ยนงานใหม่เพราะบริษัทที่ตนเองปฏิบัติงานอยู่กำลังจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานจาก Work from Home ไปเป็นแบบ Hybrid ซึ่งยังรู้สึกว่าสถานการณ์ยังไม่เป็นที่ปลอดภัย และยังไม่อยากกลับไปทำงานในออฟฟิศ เป็นต้น
อีกเทรนด์หนึ่งที่เริ่มพบได้บ่อยในการคัดเลือกผู้สมัคร ช่วงสถานการณ์ Work from Home คือ ผู้สมัครบางกลุ่มจะใช้สถานการณ์นี้ในการเพิ่มโอกาสให้ตนเอง โดยจะพิจารณาเลือกสมัครเฉพาะบริษัทที่มีนโยบายให้ Work from Home แบบ 100% เพื่อที่ว่าจะได้รับงานแบบ Full Time จากอีกหนึ่งบริษัทได้ โดยยังไม่ต้องลาออกจากงานเดิมหรือเรียกได้ว่า ต้องการหางานที่เป็น Second job / Third job ในขณะที่ทำงานที่บ้านให้กับบริษัทที่เป็นนายจ้างแรก ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการพิจารณาบริษัทที่มีธุรกิจแบบเดียวกัน หรือใกล้เคียง โดยที่นายจ้างแรกก็ไม่ทราบว่าพนักงานของตนเองรับทำงานให้กับบริษัทคู่แข่งไปในเวลาเดียวกัน
จุดสังเกตุเกิดจาก เมื่อทาง Recruiter ติดต่อไปเพื่อนำเสนองานให้ผู้สมัครท่านนั้นๆ ที่กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆอยู่ หรือ ติดต่อไปเนื่องจากผู้สมัครส่งใบสมัครเข้ามาเพราะสนใจในตำแหน่งงานที่ทางเราลงประกาศไว้ หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก/สัมภาษณ์ และทาง Recruiter จะทำการชี้แจ้งรายละเอียดต่างๆสำหรับประกอบการพิจารณา ซึ่งมาถึงจุดนี้ ผู้สมัครบางท่านชี้แจ้งตามตรงว่าต้องการขอทำงานที่เราเสนอให้เป็น Second หรือ Third Job ของเขา และอยากขอให้ทาง Recruitment Agency จ้างงานโดยไม่ต้องลงทะเบียนเข้าประกันสังคมได้หรือไม่ โดยขอให้เป็นการใช้วิธีการหักภาษีที่ 3% แทน (เนื่องจากการลงทะเบียนเข้าประกันสังคม จะต้องมีการแจ้งออกจากบริษัทปัจจุบันก่อน ซึ่งผู้สมัครไม่ได้ต้องการลาออกจากงานปัจจุบัน จึงไม่สามารถให้ทาง Agency แจ้งชื่อเข้าไปใหม่ได้) ซึ่งผู้สมัครบางท่านแจ้งว่า บางที่สามารถใช้วิธีการนี้ได้ จึงอยากสอบถามว่าทาง ANCOR สามารถดำเนินการแบบเดียวกันได้หรือไม่ … ซึ่งทาง ANCOR Thailand จะปฏิเสธคำขอนี้จากผู้สมัคร... เอาง่ายๆ ก็คือไม่ว่าที่ไหนจะช่วยผู้สมัครในการดำเนินการตามคำขอนี้ แต่ ANCOR Thailand เราไม่ทำแน่นอน!
สำหรับการทำงานของเราที่ ANCOR Thailand ส่วนตัวแล้ว บางครั้งเรายอมเสียผู้สมัครโปรไฟล์ดีๆ เพื่อยอมแลกกับความซื่อสัตย์ที่มีให้กับลูกค้า เราในฐานะรีครูทเม้นท์เป็นเหมือน Partner ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า ไม่ว่าผู้สมัครจะคุณสมบัติดีแค่ไหน เราจะตัดออกเลย ไม่นำเสนอต่อให้ลูกค้าพิจารณา เพราะผู้สมัครบางคนมองว่า การที่จะรับพิจารณางานที่เราเสนอให้ เป็นที่ที่ 2 หรือ ที่ 3 จะกระทบกับเรายังไง บริษัทจัดหางานถือเป็นแค่คนกลางมีแต่ได้กับได้ เราก็จะตอบเสมอว่า ถ้าคุณไปทำงานกับลูกค้าเรา แล้วเค้ารู้ว่าคุณทำงานให้ที่อื่นด้วย มันก็คงไม่ดีกับเรา และตัวคุณเอง การทำงานเต็มเวลาแบบ Full Time ในช่วงเวลาเดียวกัน จะทำให้คุณทำงานให้ลูกค้าเราได้ไม่เต็มที่และเป็นการไม่ซื่อสัตย์กับหน้าที่ กับข้อมูลที่เป็นความลับของบริษัท
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้หากบริษัทคุณรู้ว่าคุณกำลังทำงานให้กับบริษัทคู่แข่งไปด้วย และหากวันหนึ่ง ถ้าสถานการณ์กลับมาปกติ คุณต้องกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิศ แทนการ Work from Home คุณจะไม่ทำงานต่อหรือ?
โดยสรุปแล้วเหตุการณ์ลักษณะนี้ เกิดจากการที่พนักงาน/ผู้สมัคร ใช้ความยืดหยุ่นของการทำงานแบบ Work from Home มาเพิ่มโอกาสให้ตนเองและอาจมองได้ว่าเป็นการเอาเปรียบบริษัทปัจจุบันที่ทำงานอยู่ ถามว่าผิดกฏหมายมั้ย ก็คงไม่ผิด เพราะกฏหมายไม่ได้ห้ามคนหนี่งคนทำงานมากกว่าหนึ่งที่ แต่กับลูกค้าผิดมั้ย... ตอบเลยว่าผิดมาก
ดารินทร์ ดวงดาว
Darin Duangdao
Head of ITO (IT Outsourcing)